วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตำนานป่าหิมพานต์ ที่กินรีอยู่


ตำนานป่าหิมพานต์ (Legendary of Himmaphan)
ในสมัยก่อน เมื่อครั้งนั้นโลกยังมีลักษณะแบนคล้ายหลังเต่า มีเสาค้ำจุลโลกในยุคนั้นตั้งชี้สูงขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ พื้นโลกเต็มไปด้วยสรรพสัตว์นานาชนิด มีการเข่นฆ่ากันอย่างปกติ ไร้เมตตา ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังปกครองด้วยป่า ซึ่งเราเรียกโลกนั้นว่า “โลกาหิมพานต์
ป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่มากมาย โดยมีการจัดหมวดหมู่ประเภทออกเป็นกลุ่มๆ สัตว์ปีก สัตว์น้ำ และพวกที่อยู่บนบก ใจกลางของป่าหิมพานต์ซึ่งเข้าไปในป่าลึกนั้น มีเสาค้ำจุนโลกอยู่ พื้นของเสานั้นมีซากปลาขนาดใหญ่ล้อมพันไว้ มีชื่อว่าปลาอานนท์ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ในอดีตเคยรองรับโลกไว้ ห่างไกลออกไปไม่เท่าไหร่ มีระมาดตัวหนึ่งผู้มีพละกำลังมหาศาลที่สุดในโลกาหิมพานต์ ซึ่งไม่มีผู้ใดต่อกรเรื่องกำลังกับระมาดตัวนี้ได้ แม้แต่ พญานาคผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือพญาครุฑผู้มีอำนาจ ระมาดเหลียวมองไปพบกับเทพกินรีผู้เลอโฉม จึงนึกอยากจะเชยชม กินรีจึงรีบบินหนี ระมาดเกิดโทสะ ไล่จับ แต่กินรีมีความคล่องตัวสูงจึงหลบหลีกได้เรื่อยไป ระมาดหยิบก้อนหิน ต้นไม้ไล่ขว้าง ไล่ล่า จากแรงกำลังของระมาดทำให้สั่นสะเทือนไปทั่ว เดือดร้อน พญาครุฑทราบเรื่อง จึงเข้าขวาง ระมาด ยิ่งจับไม่ได้ก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีคนมาขัดขวาง ระมาดจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าต่อกร การต่อสู้ทำให้พื้นน้ำสั่นสะเทือน ปลาน้อยใหญ่ล้วนเดือดร้อนพญานาคจึงขึ้นไปหมายหยุด  พญาครุฑเมื่อเห็นพญานาคศัตรู ก็ตกใจนึกว่าพญานาคหมายสู้รบกับตน จึงเสียท่า ถูกระมาดพุ่งชนประทะกับพญานาค จนสิ้นชีพ แรงประทะทั้ง 3 และแรงมหาศาลของระมาดชนกับเสาค้ำจุนโลก จนเสาค้ำจุนโลกเอียงและไปกระทบกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์แตกแยกเป็น 2 โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความร้อนขึ้นเนื่องจากพระอาทิตย์แยกเป็น 2 ไม่มีกลางคืน มีแต่ท้องฟ้าลำสีส้ม น้ำระเหยแทบเหือด เหล่าสัตว์หิมพานต์จึงได้พยายามหาทางขจัดเภทภัยครั้งนี้ กบิลปักษา ผู้มีลักษณะเซ่อซ่า จัดเป็นชนชั้นต่ำ ได้แต่เหลียวมองการประชุม เนื่องจากแอบหลงชอบกินรี นั่งแกะสลักหินรูปนางกินรีทุกเพลา พร่ำเพ้อถึงนางให้ วเนกำพู เพื่อนพี่รู้จักกันมานานและสัตว์เนรมิตที่กบิลปักษาเลี้ยง นาม มนุษาสิงห์ การประชุมไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าพันธุ์ ต่างอยากจะแสดงความสามารถ ทั้งลนลาน ทั้งตื่นตระหนก พญานาคผู้ปราดเปรื่องคิดได้ว่า ต้องทำลายเสาเพื่อที่เสา จะได้ชนพระอาทิตย์อีกดวงดีดไปไกล จึงถอดดวงอิทธิฤทธิ์แล้วซัดเข้าไปที่เสา เพื่อที่จะพังเสา แต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ นางกินรีพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายทำลายเสา แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ สิ่งมีชีวิตเริ่มสิ้นใจจากความร้อนไปเรื่อยๆ แม้แต่  มนุษาสิงห์ สัตว์เลียงของกบิลปักษาก็ใกล้จะสิ้นใจ  พญานาคจึงนึกถึงคำกล่าว ว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้นั่นย่อมเกิดจากหัวใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้า พิสูจน์ กล้าที่จะลอง แม้แต่พญานาคผู้ทรงเดช กินรีจึงเสนอตัวเข้าแลก หากมีใครผู้ใดสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้จากความงดงามของนาง ซึ่งเป็นที่หมายปองของทุกผู้ในป่าหิมพานต์ กลับทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น เมื่อบรรดาสัตว์ต่างเริ่มสู้รบ กับเพื่อแย่งชิงนาง กลายเป็นสงคราม กบิลปักษา ก้มหน้า มือกุมหัวใจ และมองที่มือ พร้อมกับกล่าวว่า “ข้ามีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์” กบิลปักษากล่าวพร้อมบินขึ้นไปบนนภา เค้าใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่าแม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ”  เมื่อกล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี ตั้งแต่วินาทีนั้น กบิลปักษาทำให้โลกได้รู้จักคำว่า ความเสียสละ ซึ่งเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นโลกใบใหม่ และกลับกลายเป็นปกติสุข  และส่วนระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น